เทียนผ่าจ้าน หรือเทียนตัดสวาทขาดใยรัก ครูบาเดช กิตติญาโณ สำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ จ.ลำปาง ครูบาน้อย สิริวิชโย วัดปันเจิง จ.พะเยา และ พ่อครูหนานหวล สุขยิ่ง จ.พะเยา ร่วมผสานผนึกพลังจัดสร้างและปลุกเสก
เทียนผ่าจ้าน หรือเทียนตัดสวาทขาดใยรัก
“ผ่าจ้าน” คืออะไร หนุ่มสาวรุ่นใหม่อาจจะยังไม่รู้จักหรืออาจจะหลงลืมคำนี้ไปนานแล้ว แต่ก็ยังพอมีบางคนที่เข้าใจว่า “ผ่าจ้าน” คืออะไร “ผ่าจ้าน” คือมนต์ตราที่ใครก็ตามที่ได้ถูกกระทำเข้าไปแล้ว จะมีแต่การพลัดพรากจากกัน แตกแยกแตกใจกัน ทะเลาะเบาะแว้ง แม้จะรักกันมากแค่ไหนเมื่อได้ถูกกระทำด้วยพิธีผ่าจ้านเข้าไปก็จะทำให้คนรักคู่นั้นเป็นอันต้องเลิกราจากกันไป หมดรักทั้งที่ยังรักกันอยู่
อิทธิฤทธิ์ ของมนต์ผ่าจ้านที่ชาวล้านนาหรือคนเหนือ เรียกว่า “ผ่าจ้าน” จะกระทำโดยการผ่านพิธีกรรมหรือผ่านเครื่องรางของขลังหลายประเภท ทั้งตะกรุดยันต์ หุ่นปั้นหรือแม้กระทั้งเทียน มีอำนาจลึกลับถึงขั้นทำให้ชาย – หญิงที่เคยรักใคร่กันเป็นอันต้องพรากจากกันไป
เทียนผ่าจ้านนี้ครูบาเดชได้มอบหมายให้ พ่อครูหนานหวล เป็นผู้จัดสร้าง เพราะท่านสร้างได้ขลังมาก ปกติแล้วพ่อครูหนานหวล จะไม่ทำให้แก่ผู้ใดง่ายๆ ท่านกลัวลูกศิษย์จะนำเทียนนี้ไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรม เพราะจะเป็นบาปแก่ผู้นำไปใช้ในทางที่ผิด แต่เมื่อมีผู้เดือดร้อนจำนวนมากมารบเร้าให้ท่านจัดสร้าง ท่านจึงได้จัดสร้างเทียนนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ลูก เทียนนี้จึงเหมาะกับ ภรรยาที่ผัวไปมีเมียน้อย หลงเมียน้อยไม่ยอมกลับบ้าน หรือสามีที่ภรรยาไปมีชู้หรือแอบไปมีรักใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้อย่าร้างกัน ให้นำเทียนนี้ไปจุดบูชา โดยเขียนชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดแฟนเรากับชู้หรือเมียน้อย ลงบนเทียน แล้วนำเทียนหาที่สงบจุดเทียนแล้วท่องคาถาที่ให้ไป จะทำให้คนทั้งสองจากรักกันมีอันต้องเดินไปคนละทาง จนต้องพลัดพรากแยกจากกัน หมางเมินกัน จากรักกลายเป็นศัตรูกัน ตัดสวาทขาดใยรักจากกัน เทียนนี้จึงเหมาะสำหรับผัวไปมีเมียน้อยหรือเมียไปมีคนรักใหม่ ให้จุดตอนกลางคืนโดยถือว่าเมื่อคนหลับสนิทนั้น เทวดาประจำตัวแต่ละคนจะหยุดการคุ้มครองและขวัญก็จะออกจากร่างกาย จึงเป็นช่วงเวลาสะดวกที่จะจุดเทียนให้มีผลต่อบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าว เทียนผ่าจ้านนี้ยังได้ ครูบาเดช กิตติญาโณ แห่ง สำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ จ.ลำปาง และครูบาน้อย สิริวิชโย แห่ง วันปันเจิง จ.พะเยา มาร่วมเสกมนต์หย่าล้างลงบนเทียนชุดนี้อีกด้วย
การจุดเทียนผ่าจ้านนั้น ควรเลือกจุดในวันที่เป็นศัตรู คือ
วันอาทิตย์ เป็นศัตรูกับ วันอังคาร
วันจันทร์ เป็นศัตรูกับ วันพฤหัสบดี
วันศุกร์ เป็นศัตรูกับ วันเสาร์
วันพุธ เป็นศัตรูกับ วันราหู (วันพุธตอนกลางคืน)
เช่น ในกรณีที่เมียหลวงหรือสามีซึ่งเกิดในวันจันทร์จะทำการจุดเทียนผ่าจ้านเพื่อให้สามีแยกจากเมียน้อยหรือภรรยาแยกออกจากชู้ นั้น ควรจุดเทียนในวันที่เป็นศัตรูกับวันจันทร์ ก็คือวันพฤหัสบดี พิธีกรรมจึงจะสัมฤทธิ์ผล
การจุดเทียนผ่าจ้านมีข้อห้ามไว้ด้วย ดังนี้
๑. ไม่จุดเทียนผ่าจ้านสามีภรรยาที่มีบุตรด้วยกันหรือถูกต้องตามกฎหมายแยกจากกัน
๒. ไม่จุดเทียนผ่าจ้านให้พ่อแม่แยกจากลูก
๓. ไม่จุดเทียนผ่าจ้านให้อาจารย์และศิษย์แยกจากกัน
๔. ไม่จุดเทียนผ่าจ้านให้พี่น้องแยกจากกัน
ตะกรุดเสน่ห์เนื้อหอมเย้ายวนใจ สุดยอดเครื่องรางของขลังแห่งยุค ที่ทุกคนควรมีไว้บูชา

ครุบาเดช กิตติญาโณ ป่าช้าบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ จ.ลำปาง พ่อครูหนานหวล จ.พะเยา

ครูบาน้อย สิริวิชโย วัดปันเจิง จ.พะเยา
กลับมาอีกครั้งกับการโคจรมาพบกันระหว่างศิษย์พี่และศิษย์น้อง ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ศิษย์หลวงปู่ครูบาบุญมี หรือพระครูกิตติมศักดิ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบุญโยง จ.พะเยา อดีตพระเกจิชื่อดังแห่งเมืองพะเยา อีกรูปหนึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวพะเยาเป็นอย่างมาก ท่านมีลูกศิษย์สืบทอดวิชาทั้งหมด3 คนด้วยกัน ศิษย์คนที่ 1. พ่อครูหนานหวล สุขยิ่ง หรืออดีต ครูบาหวล นิภาธโร อดีตเจ้าอาวาส วัดแม่ต๋ำบุญโยง ท่านเป็นศิษย์เอกศิษย์ผู้พี่ ท่านเก่งเรื่องการทำเทียนต่างๆเช่น เทียนสืบชะตา ต่ออายุ เทียนเรียกจิตคนรัก หรือเทียนผ่าจ้านที่ทำให้คนจากรักกันให้หมดรักรัก (ปัจจุบันท่านลาสิขาเป็นฆราวาส ท่านก็ยังคงรักษาศีลอยู่ตลอดเวลา ครองโสดนุ่งขาวห่มขาวเข้าวัดเป็นประจำลูกศิษย์ให้ความเคารพนับถือ ) ศิษย์คนที่2. ครูบาเดช กิตติญาโณ สำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ จ.ลำปาง ท่านเก่งทางมนตร์ดำ เครื่องรางเสน่ห์สายพราย แคล้วคลาดคงกระพัน ใครชอบทางเฮี้ยนๆแรงๆก็มักจะเข้าหาครูบาเดช โดยเฉพาะตะกรุด น้ำมัน ท่านสร้างได้ขลังมีประสบการณ์มาก ศิษย์คนที่ 3. องค์สุดท้าย ครูบาน้อย สิริวิชโย วัดปันเจิง จ.พะเยา ท่านเก่งทางด้านการทำตะกรุด เมตตา มหานิยม โชคลาภ ซึ่งทั้งสามคนนี้ต่างก็ได้ร่ำเรียนวิชาจากหลวงปู่ครูบาบุญมี จนหมดสิ้น จนพระผู้เป็นอาจารย์ท่านได้ มรณภาพลง จึงได้แยกย้ายกันไป เพื่อแสวงหาร่ำเรียนวิชาเพิ่มเติม ครูบาเดช ท่านก็ได้ธุดงค์ไปทั่ว ท่านจึงได้ธุดงค์มาเจอป่าช้ากลางป่าอันเงียบสงบ ท่านจึงสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นกลางป่าช้าบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ จ.ลำปาง ได้จำพรรษาจนถึงปัจจุบัน ครูบาน้อยท่านก็ได้มาจำพรรษาอยู่ วัดปันเจิง วัดบ้านเกิด ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดปันเจิง จ.พะเยา ส่วนพ่อครูหนานหวล นั้น ท่านก็ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจากพระผู้เป็นอาจารย์อยู่วัดบุญโยงในขณะนั้น จนกระทั้งโยมแม่ท่านได้ชราภาพมากแล้ว เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ท่านก็คิดว่าครั้นเป็นพระอยู่ในผ้าเหลือง จะมานอนอยู่บ้านเฝ้าโยมแม่ทั้งที่ยังบวชเป็นพระ คนอื่นไม่เข้าใจก็อาจมองในแง่ไม่ดีจะเกิดการเสื่อมเสียต่อตัวท่านได้ เนื่องจากท่านเป็นผู้มีความกตัญญูต่อมารดาจึงได้ตัดสินใจ ทิ้งผ้าเหลือง เพื่อมาปรนนิบัติรับใช้มารดาซึ่งป่วยอยู่ในขณะนั้น ในขณะที่ท่านลาสิกขาออกมา ท่านก็ยังคงรักษาศีลอยู่ตลอดเวลานุ่งขาวห่มขาวเข้าวัดเป็นประจำ จนแม่ของท่านเสียชีวิต จนถึงตอนนี้ท่านก็ยังปฏิบัติตนเหมือนเดิมรักษาศีล ไม่กินเหล้าแม้กระทั้งครองความโสดมาจนถึงทุกวันนี้
โดยเครื่องรางของขลังชุดนี้ อาจารย์ทั้ง3 (ครูบาเดช ครูบาน้อย และพ่อครูหนานหวล) พวกท่านได้ตั้งใจจัดสร้าง ช่วยกันคัดสรรเสาะหารวบรวมมวลสารอาถรรพ์ต่างๆชนิดที่ว่า ใครมีอะไรดีๆเด็ดๆได้มวลสารอะไรมาก็เอามาผสมลงไปให้หมด หุ่นพยนต์สะกดอาถรรพ์ เนื้อครั่งพุทราตายพราย น้ำมันเสน่ห์อาถรรพ์พรายปียา เจ้ารักเจ้ายมสุดเฮี้ยน แช่น้ำมันเสน่ห์อาถรรพ์ เทียนผ่าจ้าน หรือเทียนตัดสวาทขาดใยรัก ตะกรุด เสน่ห์เนื้อหอมเย้ายวนใจ ดังนั้นเครื่องรางของขลังชุดนี้ จึงเข้มขลังอัดแน่นไปด้วยมวลสารอาถรรพ์แรงๆจนแทบไม่ต้องเสกเพิ่มเติมเลยก็ว่าได้ และยิ่งได้3อาจารย์ดัง มารวมตัวกันผนึกกำลังผสานเวทย์มนต์คาถาทำการปลุกเสกลงไป จึงทำให้วัตถุมงคลชุดนี้เข้มขลังแรงเพิ่มขึ้นทวีคูณอีกหลายเท่าตัว จึงทำให้ผู้ที่นำไปเครื่องรางของขลังชุดนี้ไปบูชา จึงบูชาได้อย่างสนิทใจว่าเกิดอภินิหารและประสบการณ์อย่างแน่นอน

ครูบาเดชทำพิธีปลุกเสกเดี่ยวกลางป่าช้าด้วยพลังจิตอันเข้มขลัง

“ผ่าจ้าน” คืออะไร หนุ่มสาวรุ่นใหม่อาจจะยังไม่รู้จักหรืออาจจะหลงลืมคำนี้ไปนานแล้ว แต่ก็ยังพอมีบางคนที่เข้าใจว่า “ผ่าจ้าน” คืออะไร “ผ่าจ้าน” คือมนต์ตราที่ใครก็ตามที่ได้ถูกกระทำเข้าไปแล้ว จะมีแต่การพลัดพรากจากกัน แตกแยกแตกใจกัน ทะเลาะเบาะแว้ง แม้จะรักกันมากแค่ไหนเมื่อได้ถูกกระทำด้วยพิธีผ่าจ้านเข้าไปก็จะทำให้คนรักคู่นั้นเป็นอันต้องเลิกราจากกันไป หมดรักทั้งที่ยังรักกันอยู่
อิทธิฤทธิ์ ของมนต์ผ่าจ้านที่ชาวล้านนาหรือคนเหนือ เรียกว่า “ผ่าจ้าน” จะกระทำโดยการผ่านพิธีกรรมหรือผ่านเครื่องรางของขลังหลายประเภท ทั้งตะกรุดยันต์ หุ่นปั้นหรือแม้กระทั้งเทียน มีอำนาจลึกลับถึงขั้นทำให้ชาย – หญิงที่เคยรักใคร่กันเป็นอันต้องพรากจากกันไป
เทียนผ่าจ้านนี้ครูบาเดชได้มอบหมายให้ พ่อครูหนานหวล เป็นผู้จัดสร้าง เพราะท่านสร้างได้ขลังมาก ปกติแล้วพ่อครูหนานหวล จะไม่ทำให้แก่ผู้ใดง่ายๆ ท่านกลัวลูกศิษย์จะนำเทียนนี้ไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรม เพราะจะเป็นบาปแก่ผู้นำไปใช้ในทางที่ผิด แต่เมื่อมีผู้เดือดร้อนจำนวนมากมารบเร้าให้ท่านจัดสร้าง ท่านจึงได้จัดสร้างเทียนนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ลูก เทียนนี้จึงเหมาะกับ ภรรยาที่ผัวไปมีเมียน้อย หลงเมียน้อยไม่ยอมกลับบ้าน หรือสามีที่ภรรยาไปมีชู้หรือแอบไปมีรักใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้อย่าร้างกัน ให้นำเทียนนี้ไปจุดบูชา โดยเขียนชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดแฟนเรากับชู้หรือเมียน้อย ลงบนเทียน แล้วนำเทียนหาที่สงบจุดเทียนแล้วท่องคาถาที่ให้ไป จะทำให้คนทั้งสองจากรักกันมีอันต้องเดินไปคนละทาง จนต้องพลัดพรากแยกจากกัน หมางเมินกัน จากรักกลายเป็นศัตรูกัน ตัดสวาทขาดใยรักจากกัน เทียนนี้จึงเหมาะสำหรับผัวไปมีเมียน้อยหรือเมียไปมีคนรักใหม่ ให้จุดตอนกลางคืนโดยถือว่าเมื่อคนหลับสนิทนั้น เทวดาประจำตัวแต่ละคนจะหยุดการคุ้มครองและขวัญก็จะออกจากร่างกาย จึงเป็นช่วงเวลาสะดวกที่จะจุดเทียนให้มีผลต่อบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าว เทียนผ่าจ้านนี้ยังได้ ครูบาเดช กิตติญาโณ แห่ง สำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ จ.ลำปาง และครูบาน้อย สิริวิชโย แห่ง วันปันเจิง จ.พะเยา มาร่วมเสกมนต์หย่าล้างลงบนเทียนชุดนี้อีกด้วย
การจุดเทียนผ่าจ้านนั้น ควรเลือกจุดในวันที่เป็นศัตรู คือ
วันอาทิตย์ เป็นศัตรูกับ วันอังคาร
วันจันทร์ เป็นศัตรูกับ วันพฤหัสบดี
วันศุกร์ เป็นศัตรูกับ วันเสาร์
วันพุธ เป็นศัตรูกับ วันราหู (วันพุธตอนกลางคืน)
เช่น ในกรณีที่เมียหลวงหรือสามีซึ่งเกิดในวันจันทร์จะทำการจุดเทียนผ่าจ้านเพื่อให้สามีแยกจากเมียน้อยหรือภรรยาแยกออกจากชู้ นั้น ควรจุดเทียนในวันที่เป็นศัตรูกับวันจันทร์ ก็คือวันพฤหัสบดี พิธีกรรมจึงจะสัมฤทธิ์ผล
การจุดเทียนผ่าจ้านมีข้อห้ามไว้ด้วย ดังนี้
๑. ไม่จุดเทียนผ่าจ้านสามีภรรยาที่มีบุตรด้วยกันหรือถูกต้องตามกฎหมายแยกจากกัน
๒. ไม่จุดเทียนผ่าจ้านให้พ่อแม่แยกจากลูก
๓. ไม่จุดเทียนผ่าจ้านให้อาจารย์และศิษย์แยกจากกัน
๔. ไม่จุดเทียนผ่าจ้านให้พี่น้องแยกจากกัน